คงไม่มีใครอยากเกิดเหตุที่ต้องสูญเสียฟันอย่างถาวร ทั้งจากการบาดเจ็บ โรคฟันผุ โรคเหงือก หรือสาเหตุอื่นใช่ไหมครับ แต่เมื่อมีเหตุที่ต้องเสียฟันเกิดขึ้นแล้ว “การปลูกรากฟันเทียม” ช่วยคุณได้ ถึงแม้วิธีนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน แต่ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับคนไข้ที่ต้องการฟันทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป
รากฟันเทียม (Implant) คือรากเทียมที่ใส่เข้าไปในขากรรไกรแทนรากฟันจริง ผลิตจากวัสดุไทเทเนียม ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ มีรูปร่างคล้ายสกรู หนา 3-5 มิลลิเมตร ยาว 8-16 มิลลิเมตร ใช้ยึดติดกับกระดูกขากรรไกรของคนไข้ในตำแหน่งที่สูญเสียฟันและรากธรรมชาติไป โดยทำหน้าที่ทดแทนรากฟันธรรมชาติเพื่อรองรับทันตกรรมฟันปลอม (denture), ครอบฟัน (crown) หรือสะพานฟัน (bridge) ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งการปลูกรากฟันเทียมมีทั้งการปลูกรากฟันเทียมแบบทันที การปลูกรากฟันเทียมแบบพร้อมครอบฟัน และการปลูกรากฟันเทียมแบบทั่วไป
มาดูส่วนประกอบของรากฟันเทียมกันบ้างครับ
1. Fixture คือ ส่วนที่ฝังอยู่ใต้เหงือก อยู่ในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติ 2. Abutment คือ ส่วนที่ทดแทนโครงสร้างของแกนฟัน เพื่อรองรับตัวครอบฟัน 3. Crown คือ ส่วนของตัวฟัน ทำมาจากเซรามิก ลอกเลียนสีและรูปร่างของฟันธรรมชาติ
ขั้นตอนในการทำรากฟันเทียม
1. เอกซเรย์ฟันเพื่อประเมินสภาพบริเวณที่จะฝังรากฟันเทียม เพื่อวางแผนการรักษา
2. จากนั้นจะผ่าตัดเพื่อฝังรากเทียม (Fixture) ลงในกระดูก ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องรอให้รากเทียมผสานติดกับกระดูกโดยธรรมชาติประมาณ 3-6 เดือน
3. ใส่แกนฟันจำลอง (coping) และพิมพ์ปากเพื่อส่งแลปทำตัวครอบฟัน แลปใช้เวลาทำประมาณ 5-7 วัน
4. ใส่แกนฟันตัวจริง (abutment) และใส่ครอบฟันตัวจริง ปรับการสบฟันให้สามารถกัดสบได้เป็นปกติ
รักษารากฟันเทียมอย่างไรให้เหมาะสมเพื่อใช้งานได้ยาวนาน
1. ต้องทำความสะอาดรากเทียมอย่างระมัดระวัง แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย เพื่อป้องกันการเกิดคราบที่ติดอยู่ตามเหงือกและบนครอบฟัน
2. ควรเข้ารับการตรวจรากเทียมเป็นประจำเช่นเดียวกับฟันโดยปกติทั่วไป
3. หมอแนะนำว่า หากคนไข้ไม่แน่ใจเรื่องการรักษาดูแลสุขอนามัยในช่องปากให้ดีได้ การทำรากฟันเทียมอาจไม่ใช่ ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณนะครับ
Comments